กลิ่นตัวเเรงเกิดจากอะไร
คนเราแต่ละคนและแต่ละเชื้อชาติจะมีกลิ่นตัว เป็นลักษณะเฉพาะของคนนั้นๆ บางคนก็มีกลิ่นตัวค่อนข้างจะเป็นเสน่ห์ คือ กลิ่นตัวหอม น่าสูดดมในขณะที่อีกหลายคนจะมีกลิ่นตัวไม่สู้จะน่าคบหาสมาคมเท่าใดนัก
เพราะมีกลิ่นตัวแรง แต่คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือผู้ที่มีกลิ่นตัวเหม็นจนเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม
ในปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบว่าคนที่มีกลิ่นตัวเหม็นมากๆ คล้ายกลิ่นของปลาเน่า คือคนที่เป็นโรค “Fish-Malodor Syndrome”ซึ่งมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปยังลูกหลานได้ด้วย โดยวิธีทางพันธุกรรมที่ชื่อว่า “Mendelianautosomal recessive transmission”
คนที่เป็นโรค Fish-Malodor Syndrome (FOS ) หรือที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Primary trimethylaminuria นั้นนับว่าเป็นผู้ที่โชคร้ายมากเพราะเป็นที่รังเกียจของสังคมและบุคคลทั่วไปแม้กระทั่งในสมาชิกของครอบครัวตนเอง คนเหล่านี้มักจะพยายามไปหาแพทย์ พระ หรือแม้กระทั่งหมอผีเพื่อที่จะทำให้กลิ่นตัวของตนเองทุเลาลง บางคนที่หมอทั้งหลายรักษาแล้วไม่หาย ก็อาจจะได้รับการอธิบายว่าชาติก่อนคงไปกระทำบาปอะไรไว้ต่างๆ นานา และบางคนที่ไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งไม่เข้าใจถึงพยาธิสภาพของการเกิดกลิ่นตัวเหม็นนี้ ก็อาจจะแนะนำให้ผู้โชคร้ายเหล่านี้รับประทานยาคลายเครียดยาคลายกังวล หรือยากล่อมประสาท ซึ่งเป็นที่น่าสลดใจมาก เพราะว่าหลังจากการรับประทานยาเหล่านี้เข้าไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ป่วยมีสภาวะทางจิตไม่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้กลิ่นตัวเหม็นขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ในสหรัฐอเมริกาและในสหราชอาณาจักร ผู้ป่วยที่เป็น FOS คนหนึ่งๆ อาจจะต้องเสียค่ารักษาไปเป็นเงินถึงกว่าหนึ่งแสนดอลล่าร์ แต่ก็ยังไม่อาจทำให้อาการกลิ่นตัวเหม็นลดลง หลายคนมีอาการทางจิต และคิดสั้นถึงกระทั่งคิดจะฆ่าตัวตายก็มี สำหรับในประเทศทางแถบเอเซียนั้นอุบัติการณ์ของ FOS นั้นคงไม่น้อยไปกว่าร้อยละ 1 และก็ไม่ยากนักที่จะพบคนที่เป็นโรคนี้ในบ้านเราเพราะว่าในประเทศไทยนั้นประกอบไปด้วยชนชั้นหลายเผ่าพันธุ์ และการแต่งงานของประชาชนก็เป็นไปอย่างเสรี ไม่มีสิ่งใดกีดกั้น จึงเป็นเรื่องง่ายที่เกิดการกลายพันธุ์ของยีนส์ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการเกิดโรคนี้
ผู้เขียนได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องโรคกลิ่นตัวเหม็น หรือ FOS มามากว่า 15 ปีแล้ว โดยการกระตุ้นจาก Professor Robert L. Smith จากมหาวิทยาลัยลอนดอน ในประเทศสหราชอาณาจักร และก็รู้สึกว่าจะเป็นผู้ที่โชคดี ที่ผลงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารอันทรงเกียรติ และได้รับรางวัล ”The 1998 Wellcome Trust Award for a Study of Rare Disease” จากกองทุน Wellcome Trust ของประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติประวัติแก่ผู้เขียนและประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้รับรางวัลนี้แล้ว ยังได้รับเชิญให้ไปบรรยายในการประชุมระดับโลก เรื่อง “ การมีกลิ่นตัวเหม็นของร่างกาย (Fish-Malodor Syndrome )” เมื่อวันที่ 29-30 มีนาคม พ.ศ. 2542 ซึ่งจัดขึ้นที่ National Institutes of Health (NIH ) เมือง Bethesda ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการวิจัยจาก NIH และกองทุน Wellcome Trust อีกด้วย
สาเหตุของการเกิดโรค
กลิ่นตัวของคนที่เป็นโรค FOS นั้นจะเหมือนกันกับกลิ่นของปลาเน่า ซึ่งโดยแท้จริงแล้วก็คือกลิ่นของสารเคมีชื่อ trimethylamine (TMA ) ที่ถูกกำจัดออกมาจากเหงื่อ ปัสสาวะ และน้ำคัดหลั่งของร่างกายเรานั่นเอง สาร TMA นี้เป็น metabolic product ของอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานกัน และจะมีมากในอาหารประเภทไข่แดง เนื้อสัตว์ และถั่วหลายชนิด กล่าวโดยย่อก็คือเมื่อเรารับประทานอาหารดังกล่าวเข้าไป แบคทีเรียในทางเดินอาหารซึ่งมีอยู่มากกว่า 70 ชนิด ก็จะเปลี่ยนแปลงสารเคมีที่มีอยู่ในอาหาร 3 ตัวคือ choline,betaine และ carnitine ให้เป็น TMA ซึ่งก็จะถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายโดยผ่านทางกระแสเลือด
ในคนที่ไม่เป็นโรค FOS นั้น TMA ก็จะถูกเอนไซม์ของตับชื่อ flavin-containing monooxygenase ฟอร์มที่ 3 (FMO3 ) ทำลายด้วยการเปลี่ยนเป็นสารชื่อ TMA-0 (trimethylamine N-oxide ) ซึ่งเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีและไม่มีกลิ่นเหม็นเลย แล้วก็ถูกขับออกร่างกายทางน้ำคัดหลั่งต่างๆ รวมทั้งในปัสสาวะด้วย แต่ในคนที่เป็นโรค FOS นั้น TMA จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงเลยเพราะ FMO3 gene ของตับไม่สามารถสร้างเอนไซม์ตัวนี้ได้เพียงพอ อันเนื่องมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ดังนั้น TMA จึงถูกกำจัดออกมาจากร่างกายในปริมาณที่มาก จึงทำให้ปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจมีกลิ่นเหม็นมากคล้ายกลิ่นปลาเน่า ซึ่งทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้สามารถสรุปเป็นกลไกการเกิดโรคกลิ่นตัวเหม็นดังแสดงไว้ในรูปที่ 1
ยังมีอีกหลายสภาวะที่ทำให้ FMO3 ของร่างกายทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ได้รับยาบางชนิด (steroids, TCAs, ranitidine ), โรคตับพิการ โรค Turner’s syndrome, Noonan’s syndrome หรือแม้กระทั่งในระหว่างการมีประจำเดือนของสตรี เป็นต้น
ที่จริงแล้ว TMA นี้ไม่ใช่ตัวที่จะคุกคามการดำเนินชีวิตของคนเรา แต่มันก็สามารถทำให้คนที่เป็นโรค FOS นี้หลายรายพยายามที่จะหาวิธีรักษาและขจัดมัน เช่น การสูบบุหรี่จัดเพื่อจะบดบังกลิ่นเหม็นของ TMA การใช้ยาดับกลิ่น ใช้สมุนไพรหรือใช้น้ำหอม เป็นต้น บ่อยครั้งที่แพทย์ไม่เข้าใจกลไกของการเกิดโรคกลิ่นตัวเหม็น ก็จะแนะนำวิธีการรักษาที่ผิดๆ เช่น ผ่าตัดต่อมเหงื่อ ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ ผ่าตัดมดลูก หรือให้รับประทานยาจำพวก benzodiazepines เข้าไปเป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ผลเลย ยิ่งกว่านั้นยากล่อมประสาทและยาคลายเครียดทั้งหลาย ยังให้ผลร้ายแก่ผู้ที่มีกลิ่นตัวเหม็นเหล่านี้อีกด้วย กล่าวคือทำให้กลิ่นตัวเหม็นมากขึ้น เพราะมันไปยับยั้งการทำงานของ FMO3 ซึ่งยังส่งผลให้ระดับของ TMA ในร่างกายสูงมากขึ้นด้วย
วิธีวินิจฉัย
โดยทั่วไปคนปกติจะกำจัด TMA ออกมาทางปัสสาวะโดยเฉลี่ยวันละ 30-50 มิลลิกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะอาหารที่รับประทาน แต่ปริมาณของ TMA นี้จะนำมาใช้เป็นตัวกำหนด บอกว่าใครเป็นโรค FOS คงไม่ได้ เพราะว่าค่าของมันในแต่ละวันเปลี่ยนแปลงได้ง่ายสำหรับแต่ละคน
ดัชนีที่น่าจะเป็นตัวชี้บอกของโรคนี้ก็คือค่า metabolic ratio (MR ) ซึ่งได้แก่อัตราส่วน TMA/TMA-O ของสารทั้งสองตัวนี้ที่ถูกกำจัดออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งในคนปกติจะมีค่าน้อยกว่า 1.0 เสมอ แต่สำหรับคนที่เป็นโรค FOS ค่านี้ก็จะสูงมากกว่า 1.0 เสมอเช่นกัน อาจจะสูงถึง 5.0-6.0 ด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะในคนปกติ TMA จะถูกเอนไซม์ FMO3 ของตับทำลายเกือบร้อยละ 100 จึงทำให้ค่า MR ต้องน้อยกว่า 1.0 เสมอ เช่นกัน
อย่างไรก็ดี นอกจากจะใช้ค่า MR สำหรับการตรวจวินิจฉัยแล้ว ยังต้องซักประวัติและตรวจสอบกลิ่นตัวของผู้ป่วยโดยการดมด้วยจมูกโดยตรงอีกด้วยเพราะบางคนอาจมีกลิ่นตัวเหม็นไม่มาก ทั้งๆที่มี MR ค่อนข้างสูง ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยอาจจะมีการรักษาและดูแลอนามัยของตนเองดีมาก แต่ถ้าจะให้แน่นอนแล้วจะต้องทำ genotyping test เพื่อยืนยัน โดยพบว่า mutation เกิดขึ้นที่ exon ใด exon หนึ่งในโครโมโซมคู่ที่ 1 เช่น มี missense mutationPro153Leu เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคนี้รายหนึ่ง เป็นต้น
วิธีการรักษา
เป็นที่น่ายินดีว่าในขณะนี้มีวิธีการรักษา FOS ที่ถูกหลักวิชาการ กล่าวคือพยายามลดอาหารที่มี choline สูงเพราะสารตัวนี้จะถูกแบคทีเรียในทางเดินอาหารเปลี่ยนไปเป็น TMA แล้วถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ตัวอย่างอาหารดังกล่าว เช่น ปลาเค็ม เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ไข่แดงและถั่ว เป็นต้น (ตารางที่ 1 ) การรักษาอีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้ยาปฎิชีวนะ เช่น metronidazole (Flagyl ) เพื่อไปยับยั้งการทำงานของแบคทีเรียดังกล่าว แต่วิธีนี้อาจจะเสี่ยงต่อการแพ้ยา หรือการเกิดผลข้างเคียงอันเกิดจากการใช้ยา (ตารางที่ 2 ) สำหรับวิธีที่ดีที่สุดที่หลายสถาบันกำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ก็คือการตัดต่อยีนส์ (gene therapy ) เพื่อเร่งให้ร่างกายสามารถผลิต FMO3 ให้ทำงานได้เช่นปกติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น